แต่เดิม เคลือบแก้วมีต้นกำเนิดจาก การคิดค้นน้ำยาเคลือบสีรถแบบถาวรของชาวญี่ปุ่น เพื่อรักษาสภาพรถโบราณ และรถยนต์คลาสสิคให้อยู่คงทนยาวนาน ให้สภาพสีดูเหมือนใหม่อยู่ตลอดเวลา ซึ่งระยะแรกของการคิดค้นผลิตภัณฑ์จะได้รับความนิยมกันอยู่ในกลุ่มคนรักรถคลาสสิกกลุ่มเล็กๆเท่านั้น โดยเน้นไปที่รถที่จอดเก็บอย่างดี ในพิพิทธภัณฑ์เป็นต้น ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ช่วงแรกที่ผลิตออกมา จะเน้นความวาวใส และความคงทนของตัวน้ำยาเคลือบแก้ว สองสิ่งนี้เท่านั้น
จากนั้นเมื่อประสบความสำเร็จในการรักษาสภาพสีรถคลาสิก ผลิตภัณฑ์เคลือบแก้วจึงถูกพัฒนาเข้าสู่อุตสาหกรรมดูแลรักษารถยนต์ หรือ Car Detailing Service ในประเทศญี่ปุ่นโดยมีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จากการได้นำผลิตภัณฑ์เคลือบแก้วเหล่านี้ไปใช้งานจริงคือ การใช้งานในชีวิตประจำวัน สีผิวรถเหล่านี้ จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน เจอปัจจัยการใช้รถที่ต่างกัน
ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นจะมีครบทั้ง4ฤดู อุณหภูมิร้อนสุดจนไปถึงเย็นติดลบ ดังนั้นเม็ดสีของรถจะเกิดการพอง และยืดหดตัวตามอุณหภูมิ เคลือบแก้วที่เคยนำไปใช้กับรถคลาสสิกอาจจะไม่เหมาะกับการใช้งานในสภาวะภายนอก
จึงเกิดการพัฒนาด้านความยืดหยุ่นของน้ำยาเคลือบแก้ว ให้สามารถรองรับการใช้งานโดยเพิ่มความแข็งแกร่งถึงขั้นสุด คือระดับ 8H และระดับ9Hในปัจจุบัน โดยผสานเอาความเงาใสและความยืดหยุ่นของนำ้ยาเข้าไว้ด้วยกัน
น้ำยาเคลือบแก้วและเทคนิคงานเคลือบแก้วในปัจจุบันจึงพัฒนาขึ้นจากจุดนั้นเป้นต้นมา
เคลือบแก้วในปัจจุบันมีอยู่ 2 ระบบ คือเคลือบแก้วระบบพ่น และ เคลือบแก้วระบบทา ความแตกต่างกันเริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนการวิจัย และขั้นตอนการผลิตสารเคลือบแก้ว เพื่อตอบสนองกระบวนการเคลือบที่แตกต่างกัน ระบบพ่นคือผลิตมาเพื่อพ่นโดยเฉพาะ ไม่นิยมนำน้ำยาระบบทามาใส่กาพ่น
ในเคลือบแก้วมีอะไร?
ในเคลือบแก้ว ประกอบด้วย Silica (Si)ในระดับความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันออกไป โดยศาสตร์ของการสร้างสรรน้ำยาเคลือบแก้วในปัจจุบัน จะไม่ได้มองไปที่จุดใดจุดหนึ่ง แต่เป็นการหาสมดุลระหว่าง ความแข็งแกร่ง ความวาวใส และ ความยืดหยุ่น ซึ่งทั้งสามส่วนนี้จะต้องทำงานประสานกัน เพื่อตอบสนองการใช้งานในชีวิตประจำวันด้วย
หัวใจของเราคือ การสร้างค่าความแข็งแกร่ง และผสานเป็นเนื้อเดียวกับผิวสีในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่ถูกลดทอนความเงาใสออกไป "ราวกับการเจียระไนแก้ว แก้วที่บางใสแต่อัดแน้นไปด้วยความแข็งแกร่งทุกอณูซึ่งจะสะท้อนสีรถออกมาได้ดีที่สุด"
ดังนั้นเคลือบแก้วที่ผ่านการสร้างสรรค์ออกมา จะไม่จำเป็นต้องเคลือบเติม เคลือบซ้ำ เพื่อเพิ่มความหนาใดๆ แต่สามารถสะท้อนสีรถออกมาได้สมบูรณ์ที่สุด ตั้งแต่วันแรกโดยไม่แข็งจนเกิดการแตกร้าวแต่สามารถยืดหยุ่นได้เอง ตามสภาพผิวสีและอุณหภูมิ